วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

จัดบ้านดี...ชีวิตรุ่งเรือง


จัดบ้านดี...ชีวิตรุ่งเรือง
 
การ จัดบ้านเพิ่มเสริมโชคลาภทำให้ชีวิตรุ่งเรืองจะทำให้คนที่อยู่ในบ้านมีชีวิต ที่ดีขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น เราจึงควรมาจัดบ้านเสริมให้ชีวิตรุ่งเรืองกันเถอะค่ะ
จัดบ้านดี...ชีวิตรุ่งเรือง
จัดบ้านดี...ชีวิตรุ่งเรือง


1. ควรตั้งกระถางต้นไม้ที่มุมต่าง ๆ ของบ้าน แต่งห้องรับแขกด้วยอ่างน้ำพุหรือตู้ปลา

2. อย่าให้บ้านแล้งหรือขาดน้ำและต้นไม้ ซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิต บ้านที่ไม่มีความเขียวสดของต้นไม้มักเป็นบ้านที่ขาดโชคลาภ

3. เปิดไฟในบ้านให้สว่างไสวเสมอ บ้านที่มืดมิดอยู่เสมอเป็นบ้านโชคร้าย

4. ติดกระดิ่ง ลมที่หน้าต่าง กระดิ่งลมถือเป็นของประดับที่เสริมโชคลาภ

5. แขวนลูกแก้วคริสตัลไว้ที่ขอบประตูหรือตั้งไว้บนโต๊ะ เพื่อกระจายพลังที่ดีให้ไหลเวียนทั่วบ้าน ปัดเป่าพลังที่ชั่วร้าย ดึงดูดโชคดีและนำความราบรื่นเรียบร้อยมาให้

6. จัดผัก ผลไม้สีส้มหรือเหลืองไว้ในครัว หรือหาดอกไม้เหลืองปักแจกันตั้งไว้ในครัวเพื่อกระตุ้นพลังแห่งทรัพย์สินและ ความอุดมสมบูรณ์ ใช้สีเหลืองและเขียวในครัวอย่างพอเหมาะจึงจะโชคดี อย่าใช้มากเกินไป



7. ต้นไม้ที่ออกดอกสีขาวช่วยเสริมมงคลให้บ้านได้ แต่อย่ามากไปจนเต็มบ้านเพราะจะนำมาซึ่งความสูญเสียและความโศกเศร้า

8. หมั่นตรวจดูแหล่งน้ำในบ้านเสมอ น้ำใสจะเรียกเง ินทองโชคลาภเข้าบ้าน น้ำที่ขุ่นและเหม็นจะทำลายพลังชีวิต ทำให้เจ็บป่วยง่ายและตัดโชคลาภ

9. " น้ำ ร้องเพลง" คือแหล่งน้ำที่ไหลเบา ๆ ส่งเสียงเพราะกล่อมบ้าน แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล น้ำเช่นนี้จะดึงดูดความมั่งคั่งร่ำรวยเข้าบ้าน การจัดแต่งบ้านให้มีแหล่งน้ำร้องเพลงสามารถทำได้โดยตั้วอ่างน้ำพุเล็ก ๆ หรือโอ่งน้ำล้นที่มุมหนึ่งมุมใดของบ้าน

10. " น้ำ คำราม" คือแหล่งน้ำที่สร้าง เสียงดังเกินไป นอกจากจะไม่น่าฟังแล้วยังหนวกหูด้วย หากอยู่ในบ้านหรือใกล้บ้านจะทำลายโชคลาภทำให้เสียเงินเสียทองและนำทุกข์ภัย มาสู่

11. ปลาทอง 9 ตัวจะนำมาซึ่งความ มั่งคั่งร่ำรวย ควร เลี้ยงปลาทอง 9 ตัวในตู้ปลา ถ้าปลาตายต้องรีบหาปลามาเพิ่มอย่าให้มีจำนวนปลาลดลง อาจเลี้ยงปลาทอง 8 ตัว แล้วเลี้ยงปลาทองตัวสีดำ อีก 1 ตัว ก็ดี ปลาทองสีดำ จะขับไล่สิ่งอับโชคและความชั่วร้าย

12. สีเขียวแก่และสีเทาดำ เป็นสีหลักที่ควรเลือกใช้ในห้องทำงานหรือมุมทำงาน ของผู้เป็นเจ้าของบ้าน เพื่อเสริมส่งด้านลาภยศและอำนาจบารมี




ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

ความทุกข์...ไม่ได้มีไว้แบก


"หากว่าเรากล้าที่จะก้าว ก็อย่ากลัวที่จะล้ม
หากว่าเราต้องล้ม ก็อย่างกลัวที่จะลุกขึ้นใหม่"
เวลาที่ชีวิตต้องเจอกับเรื่องทุกข์ๆ เราควรจะยึดคติว่า"ความทุกข์มีไว้ให้ดับ ไม่ได้มีไว้แบก" เจอความทุกข์เมื่อไหร่ ก็หาทางฝังกลบมัน อย่าปล่อยให้ความทุกข์ลุกลามจนเรื้อรัง เดี๋ยวความทุกข์จะกลืนกินความสุขในใจเราไปจนหมด
การที่เราจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ไม่ได้แปลว่าเราต้องกำจัด
ความ ทุกข์ได้อย่างถาวร เพียงแต่เราต้องรู้วิธีที่จะอยู่กับความทุกข์เฉพาะบางเรื่อง ไม่อุ้มความทุกข์ในวันวานมาเป็นทุกข์ในวันนี้และไม่สะสมความทุกข์ของเมื่อ วานกับวันนี้ ไปพอกไว้กับความทุกข์ของพรุ่งนี้
วันที่เรารู้สึกสับสนวุ่นวาย ไม่เข้าใจชีวิต ตัดสินใจไม่ถูก ก็เหมือนกับเราเจอโจทย์เลขหินๆ อ่านโจทย์กี่รอบก็ไม่เข้าใจ ตีโจทย์ไม่ออกก็เลยหาคำตอบไม่เจอ
การที่เราแก็โจทย์ไม่ได้ สามารถมองได้สามกรณี
กรณีแรกคือ โจทย์ยากและซับซ้อนเกินไป
กรณีที่สองคือ โจทย์ผิดหรือไม่ชัดเจนพอ
กรณีที่สามคือ เรามีพื้นฐานการคำนวณไม่ดีพอ
เฉกเช่นเดียวกัน การที่เราแก้โจทย์ชีวิตไม่ได้ ก็เกิดได้จากสามกรณี คือโจทย์ชีวิตของเรายากมาก หรือโจทย์ชีวิตมีความผิดพลาด หรือเราอาจจะมีความสามารถไม่พอที่จะแก้โจทย์ เราจึงต้องหาสาเหตุให้ได้ว่า ปัญหาอยู่ที่โจทย์ หรืออยู่ที่เรา ก่อนที่เราจะโทษว่าโจทย์ชีวิตมันช่างยากเหลือเกิน เราลองเปลี่ยนมาทบทวนตัวเราก่อนดีไหม
ลองถามตัวเองดูซิว่า เราเรียนรู้ชีวิตน้อยเกินไปหรือเราไม่เข้าใจชีวิตในเรื่องไหน เรื่องไหนที่เรายังด้อย เรื่องไหนที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เราก็ต้องติวเข้มบทเรียนชีวิตให้มากขึ้น ถ้าหากเรามีพื้นฐานความคิดที่ดีพอสมควร มีความรู้ความเข้าใจพอประมาณ เราก็จะแก้โจทย์ชีวิตได้อย่างไม่ยากเย็น
แม้ว่าบางโจทย์อาจจะโหดไปบ้าง แต่ถ้าเราแน่พอ อย่างน้อยเราก็พอจะแก้โจทย์ได้สักครึ่งข้อ ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากเราไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ ต่อให้เราเจอโจทย์ง่ายกว่านี้เราก็อาจจะตอบผิด และอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องค้นหาก็คือ ใครเป็นคนตั้งโจทย์ชีวิต ชีวิตเป็นผู้ตั้งให้เรา หรือว่าเราเป็นคนตั้งโจทย์ชีวิตเอง เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงโจทย์ชีวิตเอง เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงโจทย์ได้ ถ้าโจทย์ที่เขียนไว้มันยากเย็นแสนเข็ญนัก เราก็ควรลบโจทย์นั้นทิ้งแล้วคิดโจทย์ใหม่ขึ้นมาแทน อย่าไปเสียเวลากับโจทย์ที่ไม่ให้ประโยชน์กับชีวิต
อย่าไปใส่ใจกับโจทย์ที่ไม่มีคำตอบ ถึงแม้เราจะมีโจทย์ชีวิตมากมาย แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบให้ครบทุกโจทย์ เพราะว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะตอบหรือไม่ตอบ สำหรับโจทย์เลข จะมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว แต่โจทย์ชีวิต อาจจะมีคำตอบที่ถูกต้องมากว่าหนึ่ง เราจึงต้องพิจารณาให้ดีว่าควรจะเลือกคำตอบไหน จึงจะแก้โจทย์ชีวิตและโจทย์หัวใจได้ดีที่สุด
"ปัญหาบางอย่างในโลกนี้ อาจจะไม่ได้มีไว้ให้เราแก้ แต่มีไว้ให้เราเรียนรู้ว่ามันแก้ไม่ได้"
ถ้าหากชีวิตมีแต่ความทุกข์เพียงด้านเดียว ชีวิตย่อมหาความสุขไม่ได้ แต่ถ้าชีวิตเต็มไปด้วยความสุขล้วนๆชีวิตก็คงไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร ทั้งความทุกข์และความสุขจึงเป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ชีวิตเป็นชีวิต
เราจึงควรประสานความคิดและหัวใจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อจะได้ดูแลความสุขและความทุกข์ให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะพอดี
ถ้าหากเรามีคมความคิด การใช้ชีวิตก็จะง่ายขึ้น ถ้าหากเรามีหัวใจที่เฉียบคม ความรู้สึกของเราก็จะชัดเจนขึ้น
เพราะ " คมอยู่ที่คิด ชีวิตอยู่ที่ใจ " ขอเพียงเรารู้จักเลือกคิด ชีวิตก็จะคมชัด
-----------------------------------------

เครดิต เว็บ sanook.com

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

จนได้! โซนี่ก็ทำภาพ 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นเหมือนกัน

จนได้! โซนี่ก็ทำภาพ 3D แบบไม่ต้องใส่แว่นเหมือนกัน


เทคโนโลยี ภาพแบบ 3D หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Stereoscopic 3D เริ่มต้นมาจากการใช้ชมภาพยนตร์แบบสมจริงในโรงภาพยนตร์ ซึ่งต้องใส่แว่นสามมิติในการรับชมด้วย จึงจะสามารถชมภาพแบบ 3D ได้ ซึ่งต่อมามีการนำมาใช้กับทีวีบ้านด้วย ซึ่งทาง Sony ก็โปรโมททีวีที่สามารถดูภาพ 3D ด้วยแว่นสามมิติอย่างเต็มที่ แต่ว่าบรรดาบริษัทอื่นๆกลับคิดค้นและพัฒนาภาพ 3D แบบที่ไม่ต้องใส่แว่นออกมาได้แทน ไม่ว่าจะเป็นของทางซัมซุง และไมโครซอฟต์ แถมทางนินเทนโด ก็ยังพัฒนาเครื่องเกมพกพา 3DS ที่เป็นภาพสามมิติแบบไม่ต้องใส่แว่นเช่นกันด้วย


มาตอนนี้ในงาน CES 2011 (Consumer Electronics Show 2011) ที่เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โซนี่ต้องตามคนอื่น ทำอุปกรณ์สร้างภาพ 3D แบบไม่ต้องใช้แว่นออกมาบ้างแล้ว ซึ่งทางโซนี่ได้นำเอากล้อง 3D camcorder รุ่นใหม่ของกล้องถ่ายวีดีโอ handycam ซึ่งกล้องตัวนี้สามารถที่จะบันทึกภาพวีดีโอได้แบบทั่วไป แถมยังสามารถฉายภาพออกมาเป็นแบบ 3D Digital ได้อีกด้วยโดยที่ไม่ต้องใส่แว่น แต่ว่าต้องฉายไปที่เครื่องจับภาพของกล้องเท่านั้น จึงจะได้ภาพแบบ 3D ส่วนราคาของอุปกณ์นี้ รวมๆอยู่ที่ $ 1,500 ประมาณ 50,000 กว่าบาท

จาก ที่โซนี่นำกล้องวีดีโอ 3D แบบที่ไม่ต้องใช้แว่นมานำเสนอนี้ ทำให้สื่อยิงคำถามไปยังโซนี่ว่ามีแผนจะทำเครื่องเกม ที่รองรับภาพ 3D แบบที่ไม่ใช้แว่น เหมือนอย่างเครื่อง 3DS หรือไม่ ซึ่งทางโซนี่ก็บอกว่ายังไม่มีแผนการนำเอา 3D หรืออะไรมาใช้กับเครื่องเกม PSP ทั้งนั้น ซึ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ก็มีเพียงแค่ภาพ 3D แบบต้องใส่แว่นของ PS3 เท่านั้นเอง




ข้อมูลอ้างอิงและภาพจาก
http://kotaku.com/5726042/sonys-doing-glasses+free-3d-too

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

iPhone: ฤา iPhone 6 จะมองข้าม 3G เข้าสู่ยุค 3D แทน

สำหรับใครหลายคนที่กำลังตั้งตารอ iPhone 5 โทรศัพท์มือถือตัวใหม่ล่าจาก Apple ที่พร้อมจะเปิดตัวในช่วงกลางปีนี้ เชื่อแน่ว่าหลายๆคนคงจะสงสัยกันอยู่บ้างว่าจะมีฟีเจอร์หรือฟังก์ชั่นการใช้ งานอะไรใหม่ๆมาให้สาวกค่ายนี้ได้ตื่นเต้นกันบ้าง ซึ่งเราก็คงต้องมานั่งลุ้นกันต่อไปจนถึงราวเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมกันโน่นเลย
แต่สำหรับวันนี้ทีมงาน TechXcite ขอลองมองข้ามช็อตไปยัง iPhone 6 สำหรับปีสิ้นโลก 2012 ที่มีโอกาสสูงอยู่เหมือนกันที่จะมาพร้อมกับนวัตกรรมที่จะชวนให้หลายคนได้ อึ่งทึ่งเสียวกันไปตามๆกัน หลังบริษัท Apple ประสบความสำเร็จในการขอจดสิทธิบัตรเทคโนโลยี 3D ผ่านหน้าจอไม่ต้องง้อแว่นแบบใหม่ของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับข้อดีของระบบเทคโนโลยี 3D ที่ Apple ได้รับสิทธิบัตรมานั้นก็คือคุณสามารถมองภาพแบบสามมิติได้ด้วยตาเปล่า โดยที่คราวนี้ไม่ได้เห็นแค่คุณเพียงคนเดียวแต่คนรอบข้างก็จะได้รับชมภาพใน แบบเดียวกันกับคุณนั่นแหละ (คนชอบงัดมือถือมาอวดคงเตรียมยิ้มกันได้เลย) นอกจากนี้ภาพ 3D ที่สร้างออกมานั้นก็จะสามารถมองได้จากทุกองศาอย่างแท้จริงแถมยังเปลี่ยนองศา ได้ตามทิศทางการรับชมของผู้ใช้งานอีกต่างหาก
ซึ่งรับรองได้เลยว่า Apple คงไม่ได้จดสิทธิบัตรตัวนี้เก็บไว้ใส่กรุอย่างแน่นอน เพราะด้วยศักยภาพรวมถึงรูปแบบการใช้งานของอุปกรณ์อย่าง iPhone แล้วก็น่าจะเอื้ออำนวยต่อการใช้งาน 3D ในอนาคตอยู่เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นระบบ 3D Facetime หรือการเล่นเกมส์สามมิติแบบเต็มรูปแบบบนหน้าจอ 3D Retina Display ซึ่งเราอาจมีโอกาสได้เห็นฟีเจอร์ 3D แบบนี้ใน iPhone 6, iPad 3 หรือแม้กระทั่ง iPod Touch รุ่นต่อๆไปก็เป็นได้
เพราะอนาคตไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันครับ!

วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

Mozilla Seabird มือถือแห่งอณาคต

เมื่อเจ้าพ่อบราวเซอร์อย่าง Mozilla Firefox หันมาเอาดีทางด้าน Smart Phone ซึ่งทาง Mozilla Labs ได้นำเสนอคอนเซปต์สมาร์ทโฟนชื่อว่า Seabird มาดูกันครับว่าเจ้า Mozilla Seabird จะมีดีอะไรบ้าง
สำหรับคอนเซปต์ Seabird สมาร์ทโฟนที่ทาง Mozilla Labs ได้ดีไซน์ตัวเครื่องนั้นมีคุณสมบัติ และความสามารถในการทำงานด้านต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ว่ากันตั้งแต่สเป็กพื้นฐานอย่างหน้าจอสัมผัสที่สมบูรณ์แบบ กล้องดิจิตอลที่มีความละเอียดถึง 8 ล้านพิกเซล ตามด้วย โปรเจ็กเตอร์ขนาดจิ๋ว 2 ตัว ที่มีความสว่าง 45 ลูเมนส์ และความละเอียด 960x600 พิกเซล   Seabird นั้นใช้เทคโนโลยีในการชาร์จแบบไร้สาย ( Wireless Charger ) พอร์ต mini-USB โดยทีด้านหลังจะมีหูฟังไร้สายที่สามารถถอดออกจากตัวเครื่องได้
มาดูกันต่อเลยว่าเจ้า Mozilla Seabird ทำอะไรได้บ้าง? ประการแรกเลยก็คือ มันใช้งานแบบมือถือทั่วไปได้ ส่วน หูฟังบลูทูธจะทำงานได้ 2 อย่างคือ ใช้เป็นหูฟัง หรือใช้แทนเมาส์ไร้สาย 3 มิติ โดยสามารถใช้นิ้วสัมผัสด้านหลังแทนการคลิกเมาส์ได้อีกด้วย ส่วนโปรเจ็กเตอร์ที่มี 2 ตัว เพราะเมื่อคุณนำ Seabird วางบนแท่นโดยหันด้านข้าง Projector ด้านหนึ่งจะฉายภาพหน้าจอ และอีกด้านหนึ่งฉายลงบนพื้นเป็นคีย์บอร์ดแสงพร้อมทัชแพด สำหรับการท่อง อินเตอร์เน็ต ดูหนัง และการใช้งาน บนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น เห็นแบบนี้อยากใช้กันแล้วใช่มั่ยครับ งั้นเอาวีดีโอไปดูเรียกน้ำย่อยกันก่อน



OLED เทคโนโลยีใหม่สำหรับจอภาพ แบบโปร่งแสง

OLED ( Organic Light Emitting Devices ) ทางบริษัท TDK ได้นำเสนอเทคโนโลยี OLED จอแสดง ผลรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติคล้ายฟิล์ม คือมีความโปร่งใสจนสามารถมองเห็นทะลุได้ และจะเปล่งแสงเมื่อได้รับ พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ยังสามารถแสดงภาพในขณะที่จอถูกดัดให้โค้งงอได้อีกด้วย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีจอแสดงผลชนิดนี้ที่เหนือกว่าจอที่ทำจาก แก้วที่แตกร้าวได้ง่าย
TDK คาดว่าจะเริ่มผลิตฟิล์มแสดงผลภายในหนึ่งปี นั่นหมายความว่า เราอาจจะได้เห็นมือถือที่ใช้จอ OLED ชนิดนี้ก่อนสิ้นปี 2011 ก็ได้ โดยนอกจากจะผลิตจอแสดงผลดังกล่าว เพื่อใช้กับมือถือแล้ว TDK ยังมองว่า ฟิล์มแสดงผลชนิดนี้ยังเหมาะกับเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สวมใส่ (wearable electronics) อย่างเช่น แว่นตาแสดงผล Augmented Reality ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่ตรงหน้า และภาพกราฟิกที่ปรากฎบนฟิล์ม OLED ที่ใช้แทนกระจกแก้ว หรือด้วยความที่มันมีความยืดหยุ่นโค้งงอได้
ในบูธของ TDK ยังได้มีการนำเสนอสายรัดข้อมือที่มาพร้อมกับฟิล์มแสดงผลชนิดนี้ รวมถึงใน อนาคตสามารถพัฒนาเป็นวิวไฟน์เดอร์ของกล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่ใช้หน้าจอชนิดนถ่ายรูปสำหรับ Cameraphone ได้เลย จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ก็คือ ภาพที่สว่างสดใสจนสามารถมองเห็นภายใต้แสงสว่างในธรรมชาติ และพวกที่ชอบก้ม หน้าดูมือถือเวลาเดินก็จะไม่ตกท่อ เพราะจอใส :สำหรับต้นแบบที่นำมาโชว์จะมีขนาด 2 และ 3.5 นิ้ว แต่จะมีความละเอียดสูงถึง 200 พิกเซลต่อนิ้ว






ข้อมูลจาก : arip

โฉมจริงของ iPad 2 เปิดให้ชมกันแบบเต็มๆแล้ว บางเฉียบไม่ถึง 1 ซม

ออกมาเห็นหน้าตากันจริงๆสักทีหลังจาก วับๆแวมๆอยู่นานทีเดียวสำหรับเครื่อง Tablet ที่เป็นวาระแห่งชาติ เมื่อ iPad 2 ออกมาโชว์หน้าตากันแบบเต็มๆ แต่เครื่องที่เห็นในภาพไม่ใช่เครื่องตัวจริงที่ทำงานได้ แต่มันก็คือเครื่อง Mockup หรือเครื่องจำลอง ที่มีขนาดและหน้าตาเหมือนกับเครื่องตัวจริงรวมทั้งน้ำหนักที่ใกล้เคียงกับ เครื่องตัวจริง ซึ่งเค้านำมาโชว์คู่กับอุปกรณ์เสริม โดยเครื่อง iPad 2 จะมีเขียนด้านหลังเครื่องว่า ขนาดความจุที่ 128GB ซึ่งนับว่าเป็นความจุที่มากจนน่าพอใจ ซึ่งอาจจะหมายถึงว่า เครื่อง iPad2 ที่กำลังจะออกในเร็วๆนี้ น่าจะมีกล้องในคุณภาพที่สูงขึ้น ดังนั้นจึงมีหน่วยความจำที่สูงขึ้นตามเพื่อจัดการกับพื้นที่หน่วยความจำใน เครื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีกระแสบ่นมาเป็นระยะกับ iPhone 4 ที่มีกล้องคุณภาพดีถ่าย VDO ได้ในระดับสูงแต่หน่วยความจำกลับน้อยไปหน่อย จากข้อมูลที่เห็นในภาพจึงทำให้เราทราบครับว่า ขนาดเครื่องจริงของ iPad 2 นั้นก็จะมีขนาดความยาวตัวเครื่อง 240.8 มิลลิเมตร กว้าง 185.5 มิลลิเมตร และมีขนาดความบางที่ 9.4 มิลลิเมตรเท่านั้น คือบางกว่า 1 เซนติเมตรนั่นเอง
และ หากดูจากในแผ่นป้ายโฆษณาดีๆจะเห็นครับว่า เจ้าอุปกรณ์เสริมแท่นวางนี้มันรองรับ iPhone 5 ด้วยโดยมีรูปลายเส้นของเครื่อง iPhone 5 เรียงอยู่ด้านล่างของภาพ และมีหน้าตาคล้ายกับ iPhone 4 ซึ่งอาจจะหมายรวมไปถึงว่า VDO ก่อนหน้านี้ที่ได้นำมาให้ชม เกี่ยวกับชิ้นส่วนของ iPhone 5 ที่เป็นส่วนตัวเครื่องก็คงจะไม่ผิด จนทำให้ VDO ชุดดังกล่าวถูกทาง Apple ระงับไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามการปรากฎตัวของ iPad2 ในครั้งนี้แม้ว่าจะเป็นตัว Mockup แต่ก็รู้สึกทแม่งๆนิดหน่อยที่ปกติแล้ว Apple ไม่เคยปล่อยให้คนได้เห็นหน้าตาก่อนเครื่องตัวจริงจะออก แต่มาครั้งนี้เห็นแบบเต็มๆกันแบบนี้ก็เลยทำให้รู้สึกแปลกๆ แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเครื่องที่เห้นในภาพวันนี้ ผมให้คะแนน 90% ก็แล้วกันเชื่อว่าเครื่อง Mockup นี้คือเครื่อง iPad 2 จริงๆ เพราะไม่ว่าจะตราโลโก้ และการนำมาโชว์ในที่สาธารณะแบบนี้ ถ้าเอาของเลียนแบบมาโชว์มีหวังโดน Apple เล่นเอาอ่วมแน่นอน
ดูรูปร่างยังคล้ายๆรุ่นปัจจุบัน
ตราโลโก Apple อย่างชัดเจน คงไม่ใช่เครื่องจีนปลอมตัวมาแน่นอน
มีกล้องทางมุมซ้ายของเครื่องตามสัญญา
เขียนชัดเจนว่า iPad 2
บางดีจัง วัสดุตัวเครื่องน่าจะแบบเดียวกับรุ่นปัจจุบัน

ด้านหน้าเหมือนๆเดิม
รูลำโพงใหญ่ขึ้น มีตะแกรงตามที่บอกไว้ก่อนหน้า
แผ่นหลังเต็มๆ


มีเขียนว่า iPhone 5 ด้วยบนแผ่นโฆษณา

10 อันดับผีไทยที่คนเห็นบ่อยที่สุด

10 อันดับผีไทยที่คนเห็นบ่อยที่สุด
 
เรื่องผี หลายคนกลัวแต่หลายคนก็ยังอยากเห็นวันนี้เราจะพามาดู 10 อันดับผีไทยที่คนเคยเห็นมากทีสุด
10 อันดับผีไทยที่คนเห็นบ่อยที่สุด
10 อันดับผีไทยที่คนเห็นบ่อยที่สุด

อันดับ 10 ผีห้องน้ำ
ใคร บ้านไหนบ้างหนอ ที่อาบน้ำในโอ่งอยู่ดีๆ แล้วผีดัน มาหลอกไม่ก็ขอกุศลตอนนั้นแล้วไม่กลัวอะและอับดับที่เกิดนั้นมักอยู่ในโรงแรม ไม่ก็หอเสมอ โดยทั่วไปผีตนนี้มักโผล่ผลุบๆ โผล่ๆ จู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ปิดโดยไม่มีลม ได้ยินเสียงน้ำไหลเอย เสียงชักโครกเอย เอาเป็นว่าเราก็กลัวเหมือนกัน
อันดับที่ 9 ผีบ้านร้าง
แถว บ้านพวกคุณ(บางคนนะคะ)มักจะมีบ้านๆหลังหนึ่งมีต้นไม้คลุมมีซากไม้เก่าๆอยู่ หากแถวบ้านคุณมีลักษณะอย่างนั้นขอบอกว่าใช่เลย โดยปกติผีตนนี้มักจะโผล่แบบไม่ค่อยซ้ำแบบใครเท่าไร นั่นคือจะเห็นมีคนเดินไปเดินมาแถวบ้านนั้นเสมอ จะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง เสียงเด็กร้องไห้หากคุณเจออย่างงั้นจะย้ายหนีหรืออยู่ต่อก็เชิญคะ
อันดับที่ 8 ผีข้างทาง
ยาม คุณกลับบ้านคนเดียวมันจะตามคุณมาเรื่อยๆยิ่งดึกยิ่งน่ากลัว 99% ของผีตนนี้มักจะถูกฆ่าเสมอ ผีตนนี้มักจะโผล่แบบสยองเอาเรื่องเหมือนกัน แบบว่า(สำหรับวินมอเตอร์ไซต์นะ)ผีตนนี้จะบอกให้ไปส่งที่บ้านแล้วก็.......
อันดับที่ 7 ผีญาติๆของคุณ
หลัง จากเผาเสร็จ 1-2 วัน นั่นแหละคือวันที่แผลงฤทธิ์แต่คุณอย่าคิดมาก(เหมือนเพลงของแดน-บีมอะ) ผีตนนี้มักปรากฎขึ้นมาเพื่อให้คุณรู้ว่า เขาต้องการให้คุณทำบุญไปให้
อันดับที่ 6 ผีเทพอารักขา(เทวดาที่หลายๆคนเชื่อว่าสิงสถิตตามต้นไม้)ผีแบบนี้ใครๆก็ชอบยิ่งออกรูปลักษณะแปลกๆ ยิ่งดี นั่นแหละชาวบ้านยิ่งขัดถูกันมัน
อันดับที่ 5 ผีจองเวรทั้งหลาย
วิธี การหลอกของผีตนนี้สยองสุด ๆ มันจะทำให้คุณขนลุกพอ ๆ กัน แต่มันสยองสำหรับคนที่ดันไปจองเวรก่อนเค้าตาย แต่คนที่ไม่ได้ไปทำอะไรให้มันคับแค้นใจก็รอดไป การหลอกของผีตนนี้มักมีเป้าหมายคือ ฆ่าพวกที่ทำให้พวกเค้าเสียใจเท่านั้น
อันดับที่ 4 ผีของเก่า ๆ ที่คุณซื้อมา
และ ที่สำคัญที่ทอปฮิตติดชาร์ตมากที่สุดคือ เตียงนอนและตู้ 1. เตียงนอนมันมักจะเริ่มจากที่คุณนอนไป 2-3 ชั่วโมงแล้วมันจะมานอนข้าง ๆ คุณ หรือไม่ก็ฉุดขาคุณ 2. ตู้ คุณลองเปิดตอนมืด ๆ ค่ำ ๆ สิ
อันดับที่ 3 ผีเด็กๆ
คุณ อย่าคิดนาๆว่าถึงเป็นผีเด็กนะแต่ทอปมาอยู่ที่3ได้นะความเฮี้ยนของเด็กมัก เริ่มจากความกุ๊กกิ๊กน่ารักเสมอ แล้วลิ้นก้อค่อยๆยาวขึ้นหรืออาจมีเลือดเต็มหน้า แล้วคุณก็เป็นลม
อันดับที่ 2 ผีที่วัด
แน่นอนวัดคือทอป 2 ที่คุณจะเจอผีลองดูสิหันหน้าไปทางทิศตะวันตกหลังเมรุ แล้วก้มลอดระหว่างขาสิ
อันดับที่ 1 ผีโรงแรม
ดารา หรือแม้กระทั่งคุณเองก้อเจอเช่นกัน โดยเริ่มจากคุณได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อคุณเปิดไปกลับไม่มีใครอยู่ หรือไม่ก็ผีผ่านหน้าต่างไปช้า ๆ ในห้องส่งกลิ่นเหม็น แน่นอนคุณต้องของเช็กเอาท์ทันที่หลังจากเกิดคืนแรก

เทคนิค ขับประหยัด อีกแล้ว คุณพลาดอะไร อ่านแล้วจะกระจ่าง

+ บางคนเมิน บางคนเบื่อ หรือหลายคนไม่ใส่ใจ ที่จะอ่านบทความเรื่องอย่างนี้ 
 เพราะมีในหลายสื่อมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้...ครบทุกด้าน ใช้งานได้จริง ! + หลายคนก็คิดง่ายๆ ว่า ขับช้า...ก็ประหยัด จึงไม่สนใจจะรู้เทคนิคการขับประหยัดที่แท้จริง + หลายคนเมินการอ่านบางบทความ เพราะมีแต่เรื่องพื้นๆ + แต่ครั้งนี้พยายามรวบรวมให้ครบทุกแง่มุม และเป็นชีวิตจริง

มนุษย์มักทำอะไรด้วยความคุ้นเคย และเปลี่ยนแปลงยาก ถ้าทำต่อเนื่องมานาน
ลักษณะการกดคันเร่ง เร็ว-ช้า ที่แตกต่างกันในแต่ละคน ล้วนทำจนชิน เพราะคนส่วนใหญ่ ขับรถมาหลายปี
พิสูจน์ได้จากรถรุ่นใหม่ คันเร่งไฟฟ้า-ไม่ มีสายสลิง ปัจจุบันมีกล่องฯ พ่วงแต่งสัญญาณขาย แตะคันเร่งนิดเดียวหรือเท่าเดิม แล้วลิ้นปีกผีเสื้อ
เปิดมากขึ้น ก็หลอกความรู้สึกว่ารถแรงขึ้นได้ ทั้งที่ถ้าอยากแรงก็กดคันเร่งลึก-เร็วขึ้น ก็เหมือนใช้กล่องหลอกสัญญาณคันเร่ง

ล้างรถ
อย่าคิดว่าไม่เกี่ยว เพราะผิวสีลื่นมีแรงเสียดทานของลมน้อยกว่า 
คิดง่ายๆ ว่าลู่ลมกว่า แม้ไม่เห็นผลเป็นหลายเปอร์เซ็นต์ แต่รถสะอาดผิวลื่น ย่อมมีผลบวกทางหลักอากาศพลศาสตร์ แนะนำล้างรถ 3-4 วันครั้ง 
เย็นวันอาทิตย์ และเย็นพุธ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ใช้รถสะอาดได้ 3-4 วัน

การดูแลรถสำคัญ
ใครๆ ก็บอกว่าต้องดูแลรถ แต่น้อยคนที่จะลงรายละเอียดลึกๆ ละเลยแค่ไส้กรองอากาศตัน หายใจไม่เข้า ก็ต้องกดคันเร่งลึกขึ้น เมื่อต้องการเร่ง
คนไทยหลายคน ใช้รถแบบไม่พัง...ไม่เช็ค ใช้รถเหมือนใช้ชีวิต ไม่ป่วย
ก็ไม่ตรวจสุขภาพ ควรเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะทางที่กำหนดในคู่มือประจำรถ (ซึ่งหลายคนก็ไม่เคยอ่านจบเช่นกัน) ไม่ ฝืนดันทุรังใช้จนรถพัง ซึ่งจะส่งผลเสียลามไปถึงชิ้นส่วนอื่นๆ อีกด้วย เช่น สายพานไทมิ่งราคาหลักพัน ก็ไม่ยอมเปลี่ยนเมื่อครบกำหนด หากสายพานฯ ขาดระหว่างทาง จะส่งผลถึงลูกสูบ ก้านสูบ วาล์ว ฯลฯ เสียเงินรวมเป็นหลักหมื่น
น้ำมันเครื่อง
โดยตรวจดูจากก้านวัดให้ระดับน้ำมันเครื่อง ไม่ต่ำกว่าขีดล่าง และสี
ไม่ดำมาก เปลี่ยนถ่ายโดยใช้เกรดตรงรุ่น เลือกกึ่งสังเคราะห์ขึ้นไป ช่วงนี้ลิตรละ 100 กว่าบาท ไม่แพง เลือกเบอร์ SAE ใส ที่สุดเท่าที่จะไม่เกิดปัญหาและ
อยู่ในขอบเขตที่กำหนดในคู่มือ ปัญหาเมื่อน้ำมันเครื่องใสเกินไป คือ 
กินน้ำมันเครื่องเร็ว ควันขาว เสียงดัง เลือกโดยดูเลข 2 ตัวหลัง (ซึ่งวัดที่ 
100 องศาเซลเซียส เหมือนหมุนเวียนในเครื่องยนต์) เช่น 30 40 50 เลขน้อยใส-เลขมากหนืด ไม่ใช่ดูตัวเลขหน้า W เพราะนั่นวัดที่ -18 องศาเซลเซียส
การใช้น้ำมันเครื่องที่ข้นหรือหนืดมากหน่อย แต่อยู่ในขอบเขต ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นอกจากจะกินเชื้อเพลิงเพิ่มเล็กน้อย ซึ่งอาจไม่รู้สึกด้วยซ้ำไป หลังถ่ายน้ำมันเครื่อง ควรเติมใหม่ในปริมาณพอดีขีดบนสุด เพราะหากเติมมากเกิน จะทำให้ระดับน้ำมันเครื่องไปเพิ่มแรงเสียดทานการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง ดังนั้นควรเติมให้พอดีที่กำหนด และเปลี่ยนไส้กรองฯ ตามระยะ 
ถ้าใช้งานไปแล้ว น้ำมันเครื่องพร่อง แต่ไม่ใกล้ขีดล่าง ก็ไม่จำเป็นต้องเติม

เชื้อเพลิง
เลือกที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ไม่เติมน้ำมันออกเทนต่ำกว่ากำหนด เพราะเสี่ยงพัง ส่วนการเติมออกเทนสูงกว่ากำหนด ทดลองได้ และควรวัดอัตรา
สิ้นเปลืองรถของตนเทียบในแต่ละออกเทนหรือแต่ละชนิด สมมุติออกเทน 95 แพงกว่า แต่อาจได้ระยะทางมากกว่าในรถบางคัน
ส่วนการเลือกพลังงานทางเลือก เช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล อาจต้องสนใจสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ เช่น เกษตรกรด้วย ไม่ใช่สนใจเฉพาะราคาและ
ค่าใช้จ่ายต่อระยะทาง เช่น สมมมุติ อี20 กินกว่า ได้ระยะทางต่อลิตรสั้นกว่า 5-8 % แต่ราคาต่อลิตรถูกกว่า แม้คำนวณเป็น กม./ลิตร อาจแพงกว่าแก๊สโซฮอล์ อี10 ถ้าไม่ต่างมากนัก ก็แนะนำอี20 เพราะดีต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือเกษตรกร เนื่องจากตอนนี้เอธานอลผลิตจากพืชผลในประเทศ

ลมยาง...สำคัญ
เพราะยางกลมกลิ้งง่ายกว่ายางแบน เปรียบเทียบกับลูกโป่งที่มีน้ำหนักกดแล้วต้องกลิ้ง ดังนั้นผู้ใช้รถควรเติมลมยางให้กลมพอดี ตัวเลข 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ไม่ใช่มาตรฐานเสมอไป มักเป็นค่าประมาณ
การเติมลม ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวเลขที่แนะนำจากคู่มือ ใช้เป็นแค่จุดเริ่มต้นได้ เพราะบริษัทรถต้องกำหนดตัวเลขแรงดันลมเผื่อไว้สำหรับคนที่ไม่อยากค้นหาค่า ที่เหมาะสมที่สุดกับตนเอง
ค่าแรงดันลมยางที่บริษัทรถแนะนำมักไม่ใช่ ค่าที่ดีสุดเสมอไป แต่เป็นค่าที่ไม่มีปัญหาแน่ๆ และมักจะเป็นแรงดันลมที่อ่อนกว่าการจะทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด เนื่องจากบริษัทรถต้องการให้ประทับใจในความนุ่มนวล กินน้ำมันขึ้นนิดเดียว คนขับไม่รู้สึกมากนัก แต่ถ้ากำหนดค่าแรงดันลมยางมากขึ้น รถอาจจะกระด้างขึ้น จนคนขับรู้สึกได้ เกิดกระแสติติงทางลบปากต่อปาก ส่งผลถึงยอดขายอีกด้วย
นอกจากนั้นเกี่ยวข้องกับโครงสร้างยางด้วย ยี่ห้อยางหรือรุ่นต่างกัน 
แม้มีขนาดเดียวกัน อาจต้องเติมลมต่างแรงดันกัน ควรเริ่มต้นจากค่าที่บริษัทรถแนะนำ แล้วเติมเพิ่มหรือลดทีละ 2-3 ปอนด์ฯ ทดลองขับดูนานๆ ถ้าเน้นความประหยัด แรงดันลมสูง-ยางกลมขึ้น ย่อมประหยัดกว่า ทดลองเติมลมให้ยางแข็งจนกว่าจะรู้สึกกระด้าง โดยทั่วไปพบว่าเติมได้มากกว่าสเปคประมาณ 2-5 ปอนด์ โดยไม่รู้สึกกระด้าง
ยางแข็งกว่าปกตินิดๆ ดีกว่าอ่อนกว่าปกติ เพราะวงยางกลมกลิ้งง่าย แก้มไม่ย้วย ยางไม่ร้อน ส่วนยางลมอ่อนวงไม่กลม ยืด-ยุบ ตัวบ่อยๆ แก้มย้วยเกิดความร้อนในตัวเอง เสี่ยงต่อการระเบิดมากกว่ายางลมแข็ง อย่าเข้าใจผิดว่ายางเป็นลูกโป่งบางๆ เพราะยางมีหลายชั้นและการกลิ้งต้องยืด-ยุบตลอดเวลา
ค่าแรงดันลมที่เหมาะสมจริงๆ ต้องทดลองหาเอง มักบวก-ลบจากสเปคไม่เกิน 5 ปอนด์ฯ และเมื่อเปลี่ยนรุ่นยางหรือขนาด ต้องทดลองหาค่าแรงดันที่เหมาะสมกันใหม่
ล้อแม็กวงโต
มักต้องใส่ยางหน้ากว้างขึ้น ผิวสัมผัสกว้างขึ้นก็ทั้งเกาะถนนและเพิ่มแรงเสียดทาน มีผลต่ออัตราสิ้นเปลือง อีกทั้งถ้าน้ำหนักรวมเพิ่ม ก็มีผลเช่นกัน

เลี่ยงการบรรทุกของไม่จำเป็น
ไม่ว่ากี่กิโลกรัม ก็กินเพิ่มทั้งนั้น แต่ยางอะไหล่...จำเป็น

การอุ่นเครื่อง
ลืมคำแนะนำยุคเก่าที่บอกว่าให้อุ่นจน เครื่องยนต์ร้อนแล้วค่อยออกตัว เพราะจะกินน้ำมันจากการติดเครื่องทิ้งไว้ เครื่องรุ่นใหม่มีวาล์วน้ำ และมี
การควบคุมพัดลม เร่งให้เครื่องอุ่นได้ไว ไม่จำเป็นต้องติดเครื่องนานๆ
หากเริ่มใช้รถขณะเครื่องเย็นเฉียบ ให้จอดเดินเบา 15-30 วินาที แล้วขับย่องๆ ไม่เกะกะใครสัก 1-2 กม. เครื่อง ก็ร้อนพร้อมขับปกติแล้ว นึกถึงคนออกวิ่ง ถ้าวิ่งอยู่กับที่ ก็นานกว่าจะพร้อม แต่วิ่งอยู่กับที่นิดเดียว แล้วออกไปวิ่งเหยาะๆ ไม่นานก็วิ่งเร็วได้
ถ้าจอดแล้วจะมาขับใหม่ ถ้าเครื่องอุ่นๆ อยู่ ไม่ต้องรอ เพราะกว่าจะคาดเข็มขัดนิรภัย และตรวจสอบอื่นๆ ไม่เกิน 15 วินาทีก็ออกตัวและขับตามปกติได้

กดคันเร่ง... นิ่มๆ นิ่งๆ
นิ่มนิ่ม นิ่งนิ่ง 4 คำนี้ชัดเจน แต่ต้องตีความให้ชัด
นิ่มๆ คือ เมื่อต้องการเพิ่มความเร็ว ให้ค่อยๆ ไล่กดคันเร่งช้าๆ อย่าง...นิ่มๆ เมื่อทำความเร็วได้ถึงที่ตั้งใจ ให้แตะคันเร่งไว้..นิ่งๆ
อย่าเข้าใจผิดแกว่งคันเร่งเบาๆ ถี่ๆ ว่าเร่งแล้วผ่อนจะช่วยประหยัด 
แบบคนขับแท็กซี่บางคน ที่เร่งแล้วผ่อนสลับกันต่อเนื่องจนหัวผงก เพราะการขับความเร็วคงที่ด้วยคันเร่งนิ่งๆ จะประหยัดน้ำมันที่สุด

ความเร็ว ตีความให้ชัด...ไม่ใช่ขับช้า
เกี่ยวข้องกับลักษณะการกดคันเร่ง แม้จะบอกว่าตนเองขับด้วยความเร็วเดินทางแค่ 90 กม./ชม. ทำไม กินน้ำมันมากจัง อาจเป็นเพราะเมื่อจะเพิ่มความเร็วกลับขึ้นไปครั้งใด จะกดคันเร่งพรวดพราดเพื่อกลับไปความเร็วนั้น แต่อีกคนชอบขับที่ 100 กม./ชม. เร็วกว่า แต่อาจกินน้อยกว่า เพราะเลี่ยงเบรกบ่อย และเมื่อไรที่ต้องไต่ความเร็วกลับไป จะกดคันเร่งนิ่มๆ ช้าๆ
ยิ่งเร็ว ยิ่งกิน แต่ช้าแล้วต้องปลอดภัย ไม่ขวางใคร รถต้องเคลื่อนที่ฝ่าลมและหนีแรงดึงดูดของโลก เครื่องยนต์ต้องออกแรงมาก ย่อมกินน้ำมัน ขับเร็ว... ลม ยิ่งแข็ง ลองแบมือออกไปนอกกระจกขณะรถวิ่งช้ากับเร็ว รถวิ่งช้าลมยังไม่ต้านมือมาก แต่ยิ่งวิ่งเร็วก็ยิ่งมีแรงต้านลมมากขึ้น เรื่องแรงดึงดูดของโลกกับการออกแรงของรถ ให้นึกถึงคนวิ่งที่ยิ่งจะวิ่งเร็ว ก็ยิ่งต้องออกแรงมากหนีการดึงดูดให้นิ่งติดพื้น

การใช้ความเร็วคงที่
ในการเดินทาง ต้องตั้งใจเอง เช่น จะนิ่งที่ 100 กม./ชม. ก็ทำตามนั้น โดยสามารถจับผิดตนเองและสภาพการจราจรได้ว่า ได้ใช้ความเร็ว...นิ่งจริงหรือเปล่า โดยดูหรือเซตตัวเลขระยะทางบนหน้าปัด กับเวลาบนนาฬิกา เช่น ตั้งใจขับนิ่ง
ที่ 100 กม./ชม. ดุแล้วทุกครึ่งชั่วโมงต้องทำระยะทางได้ 50 กม. ถ้าได้น้อยกว่านั้น แสดงว่าไม่ได้นิ่งจริง และมีการเบรกลดความเร็วแล้วเร่งขึ้นมาบ่อยๆ ระยะทางต่อครึ่งถึง 1 ชั่วโมง จะฟ้องความนิ่งของความเร็วว่าจริงไหม
แนะนำกลางๆ ว่า เดินทางไกลหากเน้นประหยัด ใช้ความเร็วนิ่งๆ ประมาณ 100 กม./ชม. และดูสภาพการจราจรด้วย ขับช้าเน้นประหยัด แต่อันตราย เกะกะคนอื่นหรือรถสิบล้อวิ่งไล่...ไม่แนะนำ

รอบเครื่อง สำคัญ...ไม่แพ้ความเร็ว
รถเกียร์ธรรมดา ลากรอบสูงๆ แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์ แม้จะขับเร็วสุดไม่ถึง 100 กม./ชม. จะ กินน้ำมันกว่าคนที่ขับเร็วกว่า แต่เปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่ำๆ 
แบบมีแรง แล้วค่อยไล่ความเร็วขึ้นไปอย่างช้าๆ และอย่าเปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่ำเกินไป (ต้องทดลอง แล้วแต่รุ่นรถ) เพราะเครื่องจะไม่มีแรง ต้องกดคันเร่งลึกๆ
รถเกียร์อัตโนมัติ การเปลี่ยนเกียร์ขึ้น จะเกิดจากการขยับเท้าขวาขึ้นเพื่อลดการเร่ง เร่งนิ่มๆ แล้วผ่อน เกียร์ก็เปลี่ยนขึ้น ไล่ไปถึงเกียร์สูงสุด แล้วใช้ความเร็วคงที่ ถ้ามีปุ่มโอเวอร์ไดร์ฟ เปิด ON ใช้ไว้เสมอ
รถที่ใช้เกียร์อัตราทดแปรผันต่อเนื่องหรือซีวีที บางคนอาจจะตกใจกับรอบเครื่องที่ขึ้นตามความเร็ว ยิ่งเร็วรอบยิ่งสูงแบบนี้เป็นปกติ

เลี่ยงการเร่งแซงเร็วๆ ด้วยการคิ๊กดาวน์
การลดเกียร์ธรรมดาลงเกียร์ต่ำ หรือกดคันเร่งลึกเพื่อให้ระบบลดเกียร์ต่ำลงในเกียร์อัตโนมัติ (คิ๊กดาวน์) ยิ่งทำบ่อย ก็ยิ่งกินน้ำมัน เพราะรอบเครื่องยนต์กวาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรแซงโดยการกดคันเร่งนิ่มๆ ช้าๆ ดีกว่า
เลี่ยงเบรกบ่อย
แต่ต้องปลอดภัย สรุปได้ง่ายๆ ยิ่งเบรกบ่อย ความเร็วลดลง ก็ต้องกดคันเร่งเพิ่มความเร็วกลับขึ้นไปบ่อยๆ แต่ไม่ยอมเบรกจนต้องลุ้นว่าจะชนคันหน้าหรือเปล่า...ไม่แนะนำ เน้นปลอดภัยด้วยการเว้นเผื่อระยะเบรกไว้
หากแยกหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงอยู่ ควรถอนคันเร่ง (แต่ไม่ต้องปลดเกียร์) ปล่อยรถไหลตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่าเร่งแล้วถอนเพื่อเหยียบเบรก รอบจะสวิง
ขึ้น-ลงตลอด ทำให้กินน้ำมัน

แอร์ ควรเปิดแค่เย็นสบาย
ไม่เร่งเย็นสุดหรือใกล้สุด คอมพ์แอร์จะได้ตัดการทำงานบ้าง แม้เครื่องที่มีคอมพ์หมุนตลอดก็ควรทำ แต่ไม่ควรทนร้อนปิดแอร์ตลอด-หวังประหยัด เพราะจะต้องเปิดแง้มกระจก ลมเข้า-รถต้านลมมากขึ้น และคนต้องทนทุกข์กับความร้อน

การจอดบนการจราจร
การดับเครื่องยนต์ขณะจอดบนการจราจร ในเมืองร้อนอย่างไทย คงไม่จำเป็น การปลดเกียร์มาตำแหน่ง N ก็ช่วยประหยัดได้ เพราะกล่องอีซียูจะลดการฉีดน้ำมัน แต่ถ้าจอดไม่นานควรเข้า D และเบรกเตรียมพร้อมขับเคลื่อน ภายในเกียร์จะทนกว่า และร่องเกียร์สึกน้อยกว่าการเลื่อนไปมาระหว่าง N-D อยู่บ้าง
สรุปถ้าเน้นเกียร์ทน คาไว้ D แต่เมื่อจอดนานหน่อย ขี้เกียจเหยียบเบรกหรือดึงเบรกมือ และเน้นประหยัดให้ปลดมาที่ N

เมินอุปกรณ์ช่วยประหยัด
เพราะส่วนใหญ่...หลอก ลวงทั้งสิ้น เช่น แม่เหล็กสารพัด หัวเชื้อ เม็ดพิเศษ ฯลฯ หันมาสนพลังงานทางเลือกเช่น แก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล แอลพีจี เอ็นจีวี ที่คุ้มค่ากว่า


ขับประหยัด แต่ต้องปลอดภัย !

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

ภาพตัวจริงของ EEE Pad รุ่น EP101TC ที่กำลังจะออก





มีการหยอดเป็นน้ำจิ้มออกมาก่อนด้วยครับ สำหรับเครื่อง EEE Pad รุ่นใหม่ของ ASUS ที่กำหนดการเปิดโชว์ตัวในเดือนมกราคม 2011 ในงาน CES 2011 แต่แล้วจู่ๆก็มีภาพของเครื่อง EEE Pad รุ่นจอ 10 นิ้วออกมายั่วให้ชมกันเป็นน้ำจิ้มกันก่อน กับเครื่องรุ่น EEE Pad EP101TC  ซึ่งออกมาอวดโฉมพร้อมกับ Keyboard Dock ของตัวเครื่องเอง
จากในภาพก็พอจะเห็นความงามของเครื่อง EEE Pad ได้บ้างเล็กน้อยว่า ตัวเครื่องมาแนวสไตล์แบบฝา คาร์บอนเคฟล่า ซึ่งดูงานแล้วก็เนี๊ยบดีครับ นอกจากนั้นยังโชว์ให้เห็นถึงช่องต่อแบบ HDMI และ USB 3.0 ซึ่งรูปแบบการใช้งานของ EEE Pad นั้นจะสามารถต่อเชื่อมกับตัว Keyboard ได้ โดยหน้าตาจะออกมาคล้ายกับ Notebook หนึ่งเครื่อง สำหรับเครื่องในภาพที่ออกมาโชว์นั้น ก็ไม่ยอมเปิดหน้าจอให้เห็นว่าใช้ OS อะไร แต่ตามข้อมูลก่อนหน้านี้เครื่องรุ่นนี้จะใช้   Windows Embedded Compact 7 ซึ่งเป็นระบบปฎิบัติการที่พัฒนามาจาก Windows CE  และเครื่องรุ่นจอ 10 นิ้วของ ASUS นั้นจะแตกต่างจากรุ่นพี่จอ 12 นิ้วที่ใช้ CPU Intel Core i5 โดยรุ่นน้องเล็กนี้จะใช้ CPU ของ Arm Processor โดยเคลมว่ามันสามารถเปิดใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 10 ชม เลยทีเดียว
สำหรับรุ่นพี่อย่าง EP121 ที่มีขนาดจอ 12 นิ้วนั้น คาดว่าจะเปิดตัวออกมาพร้อมกันทีเดียวกับรุ่นน้องจอ 10 นิ้ว โดยราคาของรุ่นพี่อาจจะสูงกว่าที่หลายๆคนคาดพอสมควรเนื่องจากตัวเครื่องใช้ขนาดจอที่ใหญ่ และ CPU ที่แรงแถมยังต้องมีค่าไลเซ่น Windows 7 ที่เพิ่มเข้ามาอีกด้วย เมื่อเทียบกับเครื่องที่เป็นแอนดรอยด์ น่าจะทำให้ Tablet รุ่นพี่จอ 12 นิ้วอาจจะมีราคาที่โดดสูงกว่าเครื่องในตลาด Tablet ทั่วๆไป สำหรับ CPU ตัว Core i5 ที่อยู่ในเครื่องรุ่นจอ 12 นิ้วนั้นจะเป็น Core i5 รุ่นพิเศษในแบบ ultra-low voltage ซึ่งจะกินพลังงานน้อยกว่า Core i5 ที่อยู่บน PC ทั่วๆไป สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ อดใจรออีกไม่กี่สัปดาห์ก็คงจะได้เห็นเครื่องตัวจริงกันแล้ว แล้วเราจะมาพิสูจน์กันว่า ที่ ASUS เคยพูดว่าจะสร้าง Tablet ที่ดีที่สุดในตลาดตั้งแต่ตลาด Tablet เคยทำมาจะเป็นจริงสมตามราคาหรือไม่



SoPhone เครื่องก๊อปปี้ ที่เหมือน iPhone 4 มากที่สุด จนงงไปเลย

iPhone4 คือนวัตกรรมตัวทำเงินสำหรับ Apple แน่นอนว่ามันคืออุปกรณ์ต้นแบบที่ทำให้หลายๆบริษัทต้องยึดรูปแบบตาม การก๊อปปี้หรือลอกเลียนแบบว่ากันไปแล้ว มันก็มีหลากหลายประเภทแค่ ก๊อปปี้รูปแบบสไตล์ จนไปถึงการลอกเลียนแบบจนทำให้เหมือนหรือเข้าใจผิด หรือที่ในศัพท์วงการเครื่องแต่งกายเค้ามักจะเรียกว่า Mirror
 เช่นพวกกระเป๋าหลุยส์ ก็จะมีการก๊อปปี้หลายเกรดตั้งแต่ เกรดถูกๆไล่ไปจนถึงเกรด A แต่หากเอาให้เหมือนจริงๆต้องเรียกว่า เกรดแบบ Mirror หรือแบบกระจกเงานั่นเอง
แน่นอนว่าเทพแห่งการก๊อปปี้ ของทุกวงการคงไม่มีใครเกินพี่จีนของเรานั่นเอง สำหรับในตอนนี้พี่จีนส่งท้ายปี 2553 ด้วยการออกเครื่อง iPhone4 แบบ Mirror ในชื่อว่า Sophone ซึ่งมันลอกกันมาตั้งแต่เริ่มบู๊ตเปิดเครื่อง สัญลักษณ์รูป Apple เต็มใบที่ไม่มีรอยขาดแห่ง หรือรอยเงาสะท้อน แบบของเครื่องจริง โดยหน้าตารูปร่างภายนอกเรียกได้ว่าเหมือนเป๊ะ ทำงานด้วย CPU แค่ 412MHz และมี Ram ที่ 128 MB ปกติเครื่อง ก๊อปปี้ที่เราเห้นกันมากจะลอกแบบได้เฉพาะภายนอก แต่เจ้า Sophone นี่ มันลอกเลียนแบบเต็มๆ แม้กระทั้ง Multi Touch, Multi Tasking , หน้าตา icon และอินเตอร์เฟสต่างๆ  แต่ที่เห็นแตกต่างชัดเจนหน่อยก็ตอนกลับหน้าจอที่ดูออกแนว ทื่อๆไปสักหน่อย ส่วนโปรแกรมประจำเครื่องพวก Note ต่างๆก็ทำหน้าตาเหมือนมาก รวมทั้ง Keyboard ลองไปชมจาก VDO แล้วจะทึ่งครับ  ระดับ Mirror จริงๆ



 



กระถางเรืองแสง จากพลังงานแสงอาทิตย์

ทาโกะเคยนำเสนองาน Concept Design ต้นไม้ เรืองแสง จากการสังเคราะห์แสงอาทิตย์ครั้งนี้เป็นสไตล์เดียวกัน แต่เปลี่ยนเป็นกระถางค่ะ ถ้ากลางวันต้องวางต้นไม้ตากแดดอยู่แล้วจึงเป็นการดีที่จะใช้พลังงานให้คุ้มค่า แต่หลักการของกระถางเรืองแสงนี้ไม่ต้องนำกระถางไปตากแดดค่ะ แล้วทำอย่างไรล่ะ? มาติดตามย่อหน้าถัดไปนะคะ
ในชุดติดตั้งจะได้แผงโซล่าเซลล์ พร้อมสายไฟยาว 3 เมตร เพื่อติดตั้งในบริเวณที่มีแดดจัดๆและเชื่อมต่อไฟไปให้กระถางเก็บใช้เป็นแสงไฟ ถึงจะสลัวๆ ก็พอมองเห็นทางเดินสนามได้ในยามค่ำคืน
ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องปลูกต้นไม้ตากแดดตลอดเวลา กลัวมันจะแห้งตายซะก่อน (^^'')
ตัวกระถางกันละอองน้ำเล็กน้อยได้ แต่..แนะนำว่าควรตั้งห่างจากแหล่งน้ำสัก 2 เมตรนะคะมี 2 รุ่น คือ สีขาว กับเปลี่ยนสีไปเรื่อย ขนาดสัดส่วนคือ 25 x 15 ซ.ม.สนนราคากระถางละ 39$ หรือประมาณ 1,2xx บาท (แอบแพง >.<'')
สำหรับบ้านที่มีสนามๆ สวยๆ และมีเงินเหลือใช้ จะซื้อมาติดตั้งไว้ก็เก๋ดีค่ะแน่นอนว่าช่วยประหยัดไฟลดโลกร้อน และประหยัดค่าไฟจากโคมไฟสนามได้แน่นอนแต่.. ตอนกลางคืนจะมีขโมยมาแอบฉกไปหรือเปล่านะ (*_*)