วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

กาลครั้งหนึ่งหัวเกรียน ขอเขียนถึงครู

“คุณครู” นานแล้วนะครับที่ชื่อนี้ถูกลักพาตัวไปจากสารบบของชีวิต ตั้งแต่จบมัธยมก็ไม่ค่อยได้หล่นคำนี้ออกจากปากสักเท่าไหร่ แม้กระทั่งตอนนี้ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานตอนต้น (ตอกย้ำว่ายังหนุ่มฟ้อ) ก็ยิ่งห่างไกลจากคำนี้ไปทุกขณะ และในห้วงเวลาเขยิบใกล้วันครูเข้ามา   ก็พลอยจะทำให้อดนึกถึงเรื่องราวในอดีตสมัยยังหัวเกรียนเขียว หุ้มกางเกงสีกากีฉบับขาสั้นปุเลงชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียนเสียมิได้ 

กาลครั้งหนึ่งหัวเกรียน ขอเขียนถึงครู


                  ซึ่งสิ่งที่ผมกำลังจะสื่อสารผ่านตัวหนังสือ อาจจะไม่ใช่ประสบการณ์ที่สวยหรูดุจผ้าขาว หากเป็นผ้าที่แต่งแต้มด้วยสีสัน อันมาจากการถ่ายทอดมุมมองของอดีตนักเรียนซนๆ คนหนึ่ง ** ดังนั้นหากคุณเป็นบุคคลประเภท “โลกสวย” อ่อนไหวต่อสิ่งรอบข้างอย่างง่ายดาย บทความนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ ** แต่หากไม่ใช่..งั้นคุณพร้อมที่แอ๊บอายุ-ลดวัยไปกับผมหรือยัง    ถ้าหาได้ขัดข้องลองส่องดูบรรทัดต่อไปได้เลย...

** กรุณาเปิดใจกว้างๆ และอย่าพกความซีเรียสมาทัศนา **

รู้สึกอย่างไรกับครู เมื่อหนูยังเป็นนักเรียน?


          สมการชีวิตในช่วงนั้นยังไม่มีอะไรซับซ้อน เด็ก = เล่น, หัวเราะ, เริงร่า, สบาย แต่ทุกสิ่งที่เอ่ยมากลับถูกจำกัดให้อยู่ในการควบคุมภายใต้อำนาจของคุณครูโดย สิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อมาโรงเรียนเด็กๆ อาจจะรู้สึกสนุกสนานเมื่อได้วิ่งเล่นกับเพื่อน แต่เมื่อเจอกับคุณครูเด็กจะเกิดการ “แอนตี้” อยู่ในใจ รู้สึกเบื่อหน่าย ขี้เกียจเรียน รวมถึงความรู้สึกอีกมากมายในตอนนั้นที่แล่นเข้ามาในสมอง เช่น

1. กิจกรรม ทำเพื่ออะไร? เย็นวันศุกร์เอาแล้ว จับนักเรียนมานั่งพับเพียบสวดมนต์เข้าไปดิ ท่องกันยืดยาวจนตะคริวกินก้นไปหลายราย ไม่รู้จะให้ท่องอะไรขนาดนั้น กะให้ท่องเสร็จแล้วบวชเณรได้เลยไหม?, แต่ละวันก็ไม่เคยได้กลับบ้านแบบสบายตัวอ่ะ ต้องมายืนท่องสูตรคูณกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง ใครแจ็คพ็อตแตกท่องผิดก็ต้องอยู่จนกว่าจะพูดถูก

          ไหนจะวิชาประดิษฐ์ประดอย รวดร้าวใจชายชาตรีอย่างเราสุดๆ ที่จำได้แม่นเลยคือ “สอนถักเปีย”  เด็กผู้หญิงยังพอเข้าใจได้ แต่กับเพศหน้าแข้งบานอย่างผมจะสอนทำไมครับ? หนำซ้ำยังมีเก็บคะแนนอีก เดือดร้อนถึงแม่ต้องมานั่งติวเข้มกันน่าดู บอกตรงๆ ว่าช่วงนั้นกลายเป็นเด็กมีปัญหา ต้องแอบเด็กแถวบ้านสุดฤทธิ์  กลัวมันเห็นจะนึกว่าเราเป็นตุ๊ด

2. แอบซาดิสม์รึเปล่า?
 บางวูบในความรู้สึกที่ลอยผ่านมายามโดนทำโทษสารพัดวิธี แอบคิดว่าคุณครูทำไปด้วยความสะใจ หรือชื่นชอบให้เด็กทรมานหรือเปล่า ฟาดเราด้วยไม้เรียวพลางกัดปากเหมือนจะมันส์เขี้ยว ในอัตราความหนักหน่วงที่คิดว่าไม่มีทางตีลูกตัวเองด้วยดีกรีนี้แน่ๆ จากนั้นก็ได้แต่พกแนวแดงๆ กลับไปบ้านให้พ่อแม่ได้อุ๊ยอ๊ายกันไป ไหนจะให้เราวิ่งรอบสนาม นั่งกลางแดดตัวดำเกรียมจนจวนเจียนจะเป็นเด็กย่างสด และอีกมากมายที่สรรหามาจัดหนักให้เยาวชนกระโปรงบาน-ขาสั้น

          เมื่อพูดถึงคุณครูแล้ว แต่ละคนก็จะมีอุปนิสัยและบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็ใจดีดุจนางฟ้า บ้างก็ดุดันราวกับเจ้ากรรมนายเวร บ้างก็ดูงงๆ กับชีวิต ซึ่งผมก็เลยลองแบ่งออกมาคร่าวๆ ให้ดูกันดังนี้ 


ครูโหมดไหน เป็นไงกันบ้าง?

โหมดโหดสุด 


          ผลการสำรวจล่าสุดจากสถาบันวิจัย “รองทรงสูงโพล” และ “ติ่งหูโพล” ปรากฏว่าคุณครูที่ได้รับการยกย่องว่ามีความ***มเกรียมเหนือผู้ใด เห็นจะไม่มีใครเกิน “คุณครูฝ่ายปกครอง” ซึ่งภาพจำของใครหลายคนน่าจะเป็นคุณครูผู้ชายร่างท้วมๆ (จนถึงอ้วน) เก็กลุคโหดทำหน้าเหมือนท้องผูกตลอดเวลา อาวุธประจำกายคือไม้เรียว ถ้าเป็นโรงเรียนเก่าผมแกจะคาบนกหวีดด้วย ไว้คอยเป่าเรียกนักเรียนที่แหกกฏสารพัด

          และหากจังหวะที่เป่าเตือนแล้วนักเรียนคนนั้นเกิดฮึดสู้วิ่งหนีขึ้นมา ก็ได้ครื้นเครงกันล่ะครับงานนี้! เพราะสองขาของคุณครูก็พร้อมจะวิ่งซอยยิกๆๆๆ ด้านมือก็จะตวัดไม้เรียวไล่กวดราวกับกำลังแข่งประเพณีวิ่งควาย บอกได้คำเดียวว่าไม่รอด ตามติดยิ่งกว่าผีมะขิ่นในเรื่องลัดดาแลนด์เสียอีก

โหมดแฮปปี้ ใจดียกกำลังสอง 


          หนีไม่พ้นคุณครูประจำวิชาที่มีอัตราความเครียดน้อย อย่าง “ครูวิชาสุขศึกษา” ที่มักจะคัดเอาครูพละหรือครูผู้หญิงอารมณ์เหมือนพยาบาลฝึกหัดมาสอน ซึ่งด้วยเนื้อหาของวิชาที่เน้นเอาเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวมาถ่ายทอด บวกกับความสบาย (หรือแอบขี้เกียจ? อิอิ) ของผู้สอนจึงทำให้ช่วงเป็นเด็กโปรดปรานครูสอนวิชานี้มาก และที่ลืมไม่ได้อีกอย่างคือ“ครูสอนพระพุทธศาสนา” โดยเฉพาะหากวันนั้นนมัสการ “พระอาจารย์” มาสอน โอ้โหยย! ของโปรดนักเรียน คุยเล่นกันมันส์ปาก หรือใครแอบงีบก็ยังพอจะทำได้ เพราะพระท่านใจดีแถมมีมุขตลกมากำนัลเด็กๆ อีกต่างหาก


โหมดข้องหทัย ขัดใจวัยรุ่น 

          กราบเรียนด้วยความเคารพ  คุณครูบางคนมีลักษณะบางประการที่ขัดแย้งกับวิชาที่สอนมาก ที่มักจะเจอประจำเลยก็ “ครูสอนพละ” วิชาที่สอนดูต้องแข็งแรงสุขภาพดี แต่เคยใช่ไหมที่ครูผู้สอนมาอย่างอ้วนเลย อย่างอาจารย์ของผมคนหนึ่งสมัยเรียน แกสอนโดดข้ามรั้วครับ แต่..เอ่อ..ขอโทษที น้ำหนักเกือบร้อยโล ลำพังทรงตัวให้เดินตรงยังกระท่อนกระแท่น แล้วนี่มาสอนโดดข้ามรั้วเลย แล้วผมจะมั่นใจดีไหมอ่ะ? เท่านั้นไม่พอแกยังได้รับความไว้วางใจจากทางโรงเรียนให้สอนลีลาศด้วย หืมมม! (เอากะเค้าสิ)

          เมื่อพูดถึงคุณครูย่อมมาคู่กับการทำโทษ ซึ่งนับเป็นบุญอย่างล้นเหลือที่เด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบัน เค้ามีกฏหมายห้ามการตีหรือทำโทษแบบรุนแรง เพราะหากยังเป็นรุ่นกระผมรวมถึงรุ่นก่อนหน้าโน้น  คงได้ลิ้มรสไม้เรียวและอีกสารพัดวิธีที่คุณครูนำมอบให้เด็กนักเรียนได้แสบ สันต์ และหลาบจำกันเป็นทิวแถว ยังจำได้ไหมว่ามีอะไรกันบ้าง...ตามมารำลึกความหลังกันต่อที่ http://www.painaidii.com/diary/diary-detail/000073/lang/th/

โคมไฟเก๋ สไตล์ D.I.Y

ขวดน้ำหรือขวดเครื่องดื่มที่มีดีไซน์เก๋ๆ สามารถนำมาทำเป็นโคมไฟประดับบ้านหรือห้องนอนได้ ทั้งราคาถูก ทำใช้เองได้ง่ายและรวดเร็ว ไปดูกันเลยว่ามีอุปกรณ์และวิธีทำกันอย่างไร

อุปกรณ์
1. ขวดเปล่า ที่มีปากขวดเล็ก
2. ไฟคริสต์มาสดวงเล็ก 1 พวง
3. หนังสือปกแข็งที่มีลักษณะหนา
4. มีดคัตเตอร์ปลายแหลม
5. ดินสอ
6. กาว UHU
ขั้นตอนการทำ

1. เตรียมขวด
- การลอกฉลากออกจากขวด
Tips : ควรล้างและลอกฉลากที่ติดอยู่กับขวดด้วยน้ำอุ่น นำวัสดุที่เป็นเหล็กหรือของแข็งขูดออก ถ้ายังเป็นคราบเหนียวอยู่ให้ใช้ผ้าค่อยๆ ถูออก และรอให้ขวดแห้ง



2. วางแผนการตั้งวางขวดและสายไฟ
ก่อนจะลงมือตัดหนังสือ ควรวางแผนก่อนว่าจะเอาถ่าน, แบตเตอรี่ หรือสวิตซ์ เปิด-ปิดไฟ ซ่อนไว้ตรงไหน เมื่อตัดสินใจได้แล้วให้ใช้ดินสอเขียนเส้นไว้ ที่สำคัญหนังสือที่คุณเลือกจะต้องมีฐานหรือความหนาพอให้ซ่อนถ่าน, แบตเตอรี่ หรือสวิตซ์ เปิด-ปิด ไฟได้



3. เจาะปกหนังสือ
การเจาะปกหนังสือต้องใช้ความระมัดระวังและควรตัดให้พอดีกับความกว้างของปากขวด

4. การตัดกระดาษ (ภายในหนังสือ)
หลังจากตัดปกเรียบร้อย ก็มาตัดกระดาษภายในหนังสือ การตัดหน้ากระดาษภายในหนังสือก็ให้เรากรีดกระดาษให้เป็นช่องให้มีขนาดพอดีกับแบตเตอรี่ ทั้งความกว้าง และ ความลึกที่จะให้ใส่แบตเตอรี่เข้าไปได้ รวมทั้งร่องสายไฟด้วย เพื่อที่เราจะได้ซ่อนแบตเตอรี่ไว้ภายในหนังสือ


5.การวางสายไฟ
เมื่อเราทำขั้นตอนที่4 เสร็จแล้ว ให้เรานำแบตเตอรี่ไปวางไว้ตรงบริเวณที่เราจัดเตรียม แล้วให้เดินสายไฟออกมาที่รูบริเวณปกหนังสือที่เราได้เจาะไว้ตั้งแต่ตอนต้น ดังภาพค่ะ จากนั้นให้สายไฟที่เหลือใส่เข้าไปในขวดให้หมด แต่ถ้ากขวดเล็กไปก็ให้เราใช้ดินสอค่อยๆดันสายไฟเข้าไป


6.ใส่ขวดลงบนหนังสือ
เมื่อเราใส่สายไฟเข้าไปในขวดหมดแล้ว เราก็ค่อยๆประกบปากขวดเข้ากับปกหนังสือที่เราเจาะไว้ดังรูป โดยปาดขวดจะมีขนาดพอดีกับหน้าปกที่เราตัดไว้ และเพื่อความคงทนแข็งแรงก็ให้เราทากาวเข้าไประหว่างปากขวดและปกหนังสือค่ะจากนั้นก็รอจนกาวแห้ง




7.เสร็จสมบูรณ์ แค่นี้ก็ได้โคมไฟ D.I.Y ที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใครแล้วค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?

LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?
ถาม: ดิฉันกำลังตัดสินใจอยู่ค่ะว่า จะเลือกซื้อทีวีแบบไหนดี ระหว่าง LCD กับ LED พนักงานขายบอกว่า LED เป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ราคามันสูงกว่า ก็เลยไม่แน่ใจว่า มันจะคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่? LED มันมีอะไรดีกว่า LCD คะ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้ ทางกองบรรณาธิการเว็บไซต์ เอ.อาร์.ไอ.พี ก็เพิ่งจะตอบคำถามเกียวกับเรื่องนี้ไป โดยเฉพาะประเด็นความแตกต่างของจอสองชนิดนี้ ซึ่ง คำตอบอาจจะดูเป็นเทคนิคไปสักหน่อย เท่าที่ทราบผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังสับสน ระหว่างจอ LED กับ LCD อยู่ดี ทั้งนี้เข้าใจว่า ฝ่ายการตลาดเรียก LED TV ก็เพื่อทำให้มันแตกต่างจาก LCD TVนั่นเอง
LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?

LED ย่อมาจาก Light-emitting-diode ซึ่งมันไม่ได้หมายถึง "ชนิด" ของทีวี แต่มันหมายถึงชนิดของ "เทคโนโลยีที่ใช้ส่องสว่างด้านหลังจอ" หรือ backlight ต่างหาก ในขณะที่ TV ทั้งสองชนิดยังคงเป็น LCD เหมือนเดิม ทั้งนี้ LCD จะย่อมาจาก Liquid-crystal display ซึ่งมันคือชนิดของเทคโนโลยีทีวี และมอนิเตอร์ โดยทั่วไป LCD จะใช้แสงสว่างส่องด้านหลัง (backlight) เป็น CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) เพื่อให้ความสว่างกับภาพในจอ LCD นั่นเอง แต่ LED TV จะแทนที่ CCFL ด้วย LED ทำให้ได้ภาพที่มีสว่าง-คม-ชัด-ลึกมากกว่า เรียกว่า คอนทราสของมันให้ความ "สว่างไสว-มึดสนิท" อย่างแท้จริง รวมถึงสีสันที่สมจริงมากขึ้นอีกด้วย ขออนุญาตอธิบายความแตกต่างอย่างสั้นๆ อีกครั้งตรงนี้นะครับ
LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?
กลับมาที่คำถามว่า LED ดีกว่า LCD อย่างไร? นอกจากเรื่องของความสว่างคมชัด-คอนทราสสุดๆ แล้ว การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบจอ LED TV ได้บางกว่า LCD TV มาก ส่วนข้อดีข้อต่อไปก็คือ LED TV เป็นมิตรกับธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ใช้ CCFL ที่มีสารปรอท (สารพิษอันคราย) แถมยังใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ที่สำคัญ มันมีอายุการใช้งานที่นานกว่าจอ LCD อีกต่างหาก (โดยทั่วไปจะนานกว่าประมาณ 2 เท่า) ฟังข้อดีมาเยอะแล้ว ข้อเสียของ LED TV ก็คือ มันแพงกว่ามาก โดยผู้ผลิตให้เหตุผลว่า ราคาที่สูงขึ้นเกิดจากการออกแบบให้บางลง และคุณภาพของความคมชัด ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้เกิดจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีส่องสว่างด้าน หลังจอด้วยLED โดยแท้ นอกจากนี้ LED TV รุ่นใหม่ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติให้แพงเว่อร์ขึ้นไปอีกด้วย เทคโนโลยี 240Hz ที่ำให้ได้ชมการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น
LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?
หากพิจารณาจากข้อดีข้อเสียแล้ว LED TV หรือทีวีแอลซีดีที่ใช้แบคไลท์เป็น"แอลอีดี"เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าอยู่ ดี โดยเฉพาะคุณภาพที่ได้ แม้มันจะมีราคาที่แพงกว่า แต่คุณก็ได้อายุการใช้งานคืนมา ดังทีได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก่อนจบคำถาม (ที่ไม่รู้ว่าตอบยาวไป หรือเปล่า?) มีทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อนชอปมาฝากด้วยครับ โดยหากคุณตัดสินใจที่จะซื้อเป็นLED TV แนะนำให้เลือกรุ่นทีมาพร้อมกับ Local dimming ซึ่งมันสามารถปิดกลุ่ม LED สำหรับพิกเซลของภาพที่เป็นสีดำ (ไม่มีประโยชน์ที่จะส่องสว่างพิกเซลที่ต้องมึดสนิท) ด้วยวิธีนี้นอกจากจะได้คอนทราสเพิ่มขึ้นแล้ว มันยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย หวังว่า คำแนะนำเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านอีกหลายๆ ท่านที่กำลังเลือกซื้อ LED TV กันอยู่นะครับ